จัดการเงินออม ลงทุนกับประกันสะสมทรัพย์ และลดหย่อนภาษี รู้แค่ 3 อย่างนี้ ก็ทำให้เงินงอกเงยได้

ใครที่กำลังมองหาวิธีที่จะทำให้เงินงอกเงยโดยที่มีความเสี่ยงต่ำ เป็นหนทางที่ไม่ทำให้เครียดจนเกินไป บทความนี้จะพาทุกคนไปเริ่มต้นด้วยการโฟกัสที่การจัดการเงินออม การลงทุน และการลดหย่อนภาษี ซึ่งการออมและการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นสองปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และการเข้าใจเรื่องลดหย่อนภาษีก็จะทำให้คุณจัดสรรเงินได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น เพียงเข้าใจใน 3 ข้อนี้ก็จะช่วยให้การเงินของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่องได้

1. จัดการเงินออม จุดเริ่มต้นแรกของการเก็บออมเงินให้ได้ผล

การออมเงินเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางการเงิน เป็นการสร้างความปลอดภัยทางการเงินในยามฉุกเฉิน การออมที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการจัดการรายจ่ายอย่างชาญฉลาด ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ 2 วิธี คือ


ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น

การตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เป็นก้าวแรกของการออมที่มีประสิทธิภาพ รายจ่ายที่ไม่จำเป็นอาจดูเหมือนเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อรวมกันแล้วสามารถทำให้เงินออมลดลงได้ และทุกวันนี้มักมีกลยุทธ์ทางการตลาดมากมาย เช่น โปรโมชันลดราคา ของแถม หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายเกินความจำเป็นได้ 

ดังนั้น วิธีแก้ไขที่เริ่มได้เลยตั้งแต่วันนี้ คือก่อนที่จะใช้จ่ายอะไรแนะนำให้สร้างทางเลือกให้ตัวเองเพิ่มขึ้น โดยลองเปรียบเทียบราคาสินค้าทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ หรือจัดเวลาในการเลือกซื้อสินค้าให้เหมาะสมกับงบประมาณส่วนที่กันไว้สำหรับใช้จ่ายโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าในช่วงเวลาลดราคาทั้งที่สินค้านั้นยังไม่หมดหรือไม่จำเป็นต้องใช้ ตัวอย่างเช่น 

  • ค่ากาแฟหรือค่าอาหาร : เปลี่ยนมาทำกาแฟดื่มเองที่บ้าน หรือหาสินค้าที่มีราคาเหมาะสมเพื่อสลับกับการซื้อสินค้าราคาแพงบ้างในบางครั้ง หรือสลับระหว่างการทานอาหารในร้านอาหารทั่วไปแทนการทานอาหารที่ร้านอาหารในห้างฯ ซึ่งอาจมีราคาสูงกว่า
  • ค่าสังสรรค์ : จัดกิจกรรมที่ใช้เงินน้อยกว่า หรือเลือกจัดปาร์ตี้ที่บ้านแทนการออกไปร้านอาหาร หรือใช้โปรโมชัน Happy Hour ในการพบปะสังสรรค์กับเพื่อน ๆ

เพิ่มรายได้ 

การเพิ่มรายได้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเสริมสภาพคล่องและช่วยให้มีเงินออมมากขึ้น รายได้มีหลายประเภท เช่น รายได้ที่เกิดจากการทำงานโดยตรง (Active Income) รายได้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำงานหรือมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอ (Passive Income) เช่น ค่าเช่า หรือดอกเบี้ยจากการลงทุน ประเภทของรายได้สามารถแยกย่อยได้ ดังนี้

  • รายได้หลัก : เป็นรายได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างจากการทำงานประจำ ซึ่งมักมีความสม่ำเสมอ ช่วยให้ผู้มีรายได้สามารถวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง การเพิ่มรายได้จากรายได้ประเภทนี้ อาจมาจากการทำงานล่วงเวลาหรือการได้เลื่อนตำแหน่ง
  • รายได้เสริม : มาจากงาน Part-time, Freelance หรือการขายของออนไลน์ เป็นช่องทางที่คุณสามารถเพิ่มรายได้จากการทำงานนอกเวลาทำงานประจำหรือในช่วงเวลาว่างได้
  • รายได้จากการลงทุน : อาจมาจากดอกเบี้ยจากการฝากเงิน เงินปันผลจากหุ้น หรือค่าเช่าจากการปล่อยอสังหาริมทรัพย์ การเพิ่มรายได้ด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างนิยมนำมาช่วยให้เงินงอกเงย แต่ต้องระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเอาไว้เสมอ
  • รายได้พิเศษ : โบนัส คอมมิชชัน เป็นรายได้อีกประเภทหนึ่ง โดยมักมีลักษณะเป็นรายได้ไม่ประจำ แต่เมื่อได้มาแล้วสามารถนำไปเป็นเงินออมได้ เพราะมักมีลักษณะเป็นเงินก้อน

2. ลงทุนให้เป็น เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างความมั่งคั่ง

การลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มพูนเงินออม แต่ต้องเลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของคุณและศึกษาทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน เพราะอย่างที่ทราบกันว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นสำหรับมือใหม่หรือใครที่อยากลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติมจากเดิม แนะนำให้เลือกวิธีลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่สามารถสร้างความมั่งคั่งทางการเงินได้จริง ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายตัวเลือก แต่วันนี้เราขอแนะนำการลงทุน 2 ประเภทที่น่าสนใจ คือ 

การลงทุนด้วยวิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) 

DCA (Dollar-Cost Averaging) คืออะไร ?

Dollar-Cost Averaging (DCA) หรือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน คือวิธีการลงทุนที่เน้นการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินที่เท่า ๆ กันในแต่ละงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาของหลักทรัพย์ในขณะนั้น ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง วิธีนี้เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของตลาดมากนัก

ข้อดีของการลงทุนแบบ DCA

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนมีข้อดีคือ ช่วยสร้างวินัยในการลงทุน เพราะเป็นการลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือน มีการกำหนดงบประมาณการลงทุนที่แน่นอน และที่สำคัญคือช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดในการจับจังหวะตลาดได้ 

การลงทุนด้วยวิธี DCA สามารถเลือกลงทุนได้ทั้งหุ้นและกองทุน ขึ้นอยู่กับความต้องการและการพิจารณาของแต่ละคน เช่น การลงทุน LTF หรือ กองทุนหุ้นระยะยาว (Long-Term Equity Fund) ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนไทยมีการลงทุนในหุ้นมากขึ้น และยังสามารถนำเงินที่ลงทุนใน LTF มาลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด 

เพื่อให้เข้าใจและเห็นภาพมากขึ้น ไปดูตัวอย่างการลงทุนด้วยวิธี DCA ในเบื้องต้นพร้อม ๆ กัน

ตัวอย่างการลงทุนกองทุน LTF ด้วยวิธี DCA

คุณ A ต้องการลงทุนในกองทุน LTF และใช้วิธีการ DCA เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในระยะยาว จึงตัดสินใจลงทุน 5,000 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 1 ปี (12 เดือน) โดยในแต่ละเดือน ราคาต่อหน่วยของกองทุน LTF อาจขึ้นลงตามภาวะตลาดหุ้น

ตารางด้านล่างแสดงสถานการณ์สมมติการลงทุนในกองทุน LTF ด้วยวิธี DCA ของคุณ A:

เดือนจำนวนเงินลงทุน
(บาท)
ราคาหน่วยลงทุน
(บาท)
จำนวนหน่วยที่ซื้อได้
(หน่วย)
มกราคม5,00010500
กุมภาพันธ์5,00012416.67
มีนาคม5,0009555.56
เมษายน5,00011454.55
พฤษภาคม5,00013384.62
มิถุนายน5,00020500
กรกฎาคม5,0009555.56
สิงหาคม5,00012416.67
กันยายน5,00011454.55
ตุลาคม5,00014357.14
พฤศจิกายน5,00010500
ธันวาคม5,00012416.67

การคำนวณ:

  • จำนวนเงินลงทุนทั้งหมด: 5,000 บาท x 12 เดือน = 60,000 บาท

ราคาต่อหน่วยเฉลี่ย:
คุณ A ลงทุนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่สนใจว่าราคาหน่วยลงทุนจะขึ้นหรือลง ซึ่งในช่วงเวลา 12 เดือนนี้ ราคาหน่วยลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อหน่วย (ราคาหน่วยลงทุนสูงสุดคือ 14 บาท และต่ำสุดคือ 9 บาท) แต่เนื่องจากใช้วิธี DCA ซื้อในแต่ละเดือนทั้งตอนที่ราคาต่ำและสูง ผลที่ได้คือสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้จำนวนมากเมื่อราคาต่ำ และซื้อหน่วยลงทุนจำนวนน้อยเมื่อราคาสูง ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของคุณ A ต่ำกว่า 11 บาท

อย่างไรก็ตาม หากคุณสนใจใช้วิธี DCA ก็ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้รู้พื้นฐานและทราบถึงข้อจำกัดของวิธีการลงทุนแบบนี้ และตระหนักไว้เสมอว่าให้เลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองด้วย

การลงทุนป้องกันความเสี่ยงด้วยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์

นอกเหนือจากการลงทุนด้วยวิธี DCA แล้ว สำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัย การลงทุนป้องกันความเสี่ยงด้วยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสม เพราะการลงทุนในประกันเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับคุณ แต่ยังเป็นวิธีการออมเงินที่มีการคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปด้วย (สำหรับบางแผนประกัน) นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีที่ช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้เรามีประกันที่ให้ความคุ้มครองที่คุ้มค่ามาแนะนำกัน นั่นก็คือประกันบำนาญและประกันสะสมทรัพย์ จากกรุงเทพประกันชีวิตออนไลน์ หรือ Bangkok Life Assurance

  • ประกันบำนาญ แฮปปี้ เพนชั่น (มีเงินปันผล)

การันตีรับเงินบำนาญคืนทุกปี ตั้งแต่อายุ 60 – 99 ปี

จุดเด่นของประกัน

  • ระยะเวลาคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี
  • เลือกระยะเวลาชำระเบี้ยฯ ได้ 1 ปี (ครั้งเดียวจบ)/ 5 ปี/ 10 ปี หรือจนถึงอายุ 60 ปี
  • มีโอกาสรับเงินบำนาญเพิ่มพิเศษตลอดสัญญา1,2
  • ระยะเวลาชำระเบี้ยฯ ครั้งเดียว จำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น 20,000,000 บาท 
  • ระยะเวลาชำระเบี้ยฯ 5 ปี, 10 ปี และจนถึงอายุ 60 ปี จำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น 50,000 บาท 
  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาทต่อปี3 เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
  • ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ บีแอลเอ ฟาสต์ รีเทิร์น 10/2

กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ รับผลประโยชน์เพิ่ม 200%4

จุดเด่นของประกัน

  • ปีกรมธรรม์ที่ 3 รับเงินก้อนคืน 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • จ่ายเบี้ยสั้น 2 ปี คุ้มครองชีวิตยาว 10 ปี
  • จำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 5,000,000 บาท
  • คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี รับ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย5 
  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
  • ประกันสะสมทรัพย์ บีแอลเอ สมาร์ทเซฟวิ่ง 10/1

รับเงินคืนรวมตลอดสัญญา 117.5% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

จุดเด่นของประกัน

  • มอบความคุ้มครองชีวิต 10 ปี ชำระเบี้ยประกันครั้งเดียวจบ 
  • รับเงินคืนทุกปี ปีละ 1.75% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • ผลประโยชน์รวมตลอดสัญญา 117.5% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด

3. ลดหย่อนภาษี จัดสรรได้ดี ออมเงินได้มากขึ้น

การวางแผนจัดการภาษีที่ดีจะช่วยให้คุณลดค่าใช้จ่ายในการชำระภาษีและสามารถแบ่งสรรปันส่วนไปออมเงินได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นหากใครอยากให้เงินงอกเงยมากขึ้น การลดหย่อนภาษีเป็นอีกข้อหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ

นิยามของคำว่า “ภาษี” และวิธีการคำนวณภาษีเงินได้

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่รัฐจัดเก็บจากบุคคลทั่วไปที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ซึ่งสูตรคำนวณภาษีเงินได้คือ

  • รายได้สุทธิ = รายได้ตลอดทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
  • ภาษีที่ต้องจ่าย = รายได้สุทธิ x อัตราภาษี

สำหรับอัตราภาษีในการคำนวณจะเป็นอัตราภาษีตามขั้นบันไดที่มีทั้งหมด 8 ขั้น เริ่มตั้งแต่เงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี ไปจนถึงเงินได้สุทธิมากกว่า 5,000,000 บาท ที่มีอัตราภาษีอยู่ที่ 35%

ตารางเปรียบเทียบประเภทเงินได้ ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนภาษี

ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กฎหมายกำหนดให้เงินได้แต่ละประเภทสามารถหักค่าใช้จ่าย (ต้นทุน) ออกก่อนแล้วจึงนำเงินได้ที่หักค่าใช้จ่ายแล้วทั้งหมดไปหักลดหย่อน เพื่อให้ได้รายได้สุทธิไปคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ คุณสามารถศึกษาข้อมูลการลดหย่อนแบบละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร**

ประเภทเงินได้หักค่าใช้จ่าย
1. เงินได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน
ค่าจ้าง โบนัส เบี้ยเลี้ยง ฯลฯ

2. เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ
หรือจากการรับทำงานให้ เช่น ค่าธรรมเนียม
ค่านายหน้า ฯลฯ
50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
หากมีเงินได้ประเภทที่ 1 และ 2
ให้นำเงินได้ทั้ง 2 ประเภทรวมกัน
หักค่าใช้จ่ายได้ 50%
แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
3. ค่าลิขสิทธิ์ ค่าตอบแทนทรัพย์สินทางปัญญา หรือค่า Goodwill50% แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท หรือตามที่จ่ายจริง
4. ดอกเบี้ย เงินปันผล ส่วนแบ่งกำไร ฯลฯหักค่าใช้จ่ายไม่ได้
5. เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สินตามจริงหรืออัตราเหมา
– บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง แพ30%
– ที่ดินที่ใช้ในการเกษตร20%
– ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ในการเกษตร15%
– ยานพาหนะ30%
– ทรัพย์สินอื่น10%
– ทรัพย์สินอื่น
การผิดสัญญาเช่าซื้อ การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน
หักเป็นการเหมาได้ 20% วิธีเดียว
6. วิชาชีพอิสระตามจริงหรืออัตราเหมา
– การประกอบโรคศิลปะ60%
– วิชากฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม30%
7. เงินได้จากการรับเหมา (ผู้รับเหมาต้องลงทุน
จัดหาสัมภาระสำคัญนอกจากเครื่องมือ)
ตามจริงหรืออัตราเหมา 60%
8. รายได้อื่น นอกเหนือจาก 1-7*ตามจริงหรืออัตราเหมา 40% และ 60%
ค่าลดหย่อน
การหักลดหย่อนหลัก
– ลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
– คู่สมรส (ที่ไม่มีเงินได้) 60,000 บาท
– บุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน**
– ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์
– ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หักค่าลดหย่อนคนละ 30,000 บาท โดยบิดามารดาต้องมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาท
– ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ หักค่าลดหย่อน คนละ 60,000 บาท**
– เงินสมทบประกันสังคม หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท

ค่าลดหย่อนเพื่อการลงทุนและอื่น ๆ
– ค่าเบี้ยประกันชีวิต (กรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป) ลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท**
– ค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส ลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท**
– เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท ซึ่งไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้างให้หักจากเงินได้
– เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ใช้สิทธิ์ได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีในปีภาษีนั้น และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท**
– ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ที่นำมาเสียภาษีเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ ต้องเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปและจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเมื่อผู้มีเงินได้อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปถึงอายุ 85 ปีหรือกว่านั้น และเมื่อรวมกับการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
– เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
– ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม SSF หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน ต้องไม่เกิน 200,000 บาท**
– เงินบริจาค เงินบริจาคสนับสนุนการศึกษา การกีฬา และโรงพยาบาลรัฐ ผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) หักได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
– เงินบริจาคอื่น หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

สิทธิลดหย่อนจากมาตรการรัฐ
– ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
– โครงการ Easy e-Receipt สามารถนำใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงรวม VAT แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และจะต้องมีใบกำกับภาษีและ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ตามระบบของกรมสรรพากร
*ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร (ฉบับที่629) พ.ศ.2560

การออม 5 ประเภทที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

การออมเงินนอกจากจะช่วยให้เรามีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคตแล้ว ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วยหากเลือกออมได้ถูกวิธี โดยทั่วไปประเภทของการออมที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้มีด้วยกัน 5 แบบ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการนำไปลดหย่อนดังนี้

  • ระบบการออมภาคบังคับ
  • ประกันสังคม: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท และไม่เกิน 15% ของเงินได้
  • เบี้ยประกันชีวิต
    • ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
    • หากรวมกับเงินฝากแบบมีประกันชีวิต ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
    • ประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
    • กรมธรรม์ประกันชีวิตต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป
  • กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)
    • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท 
    • ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฎิทิน
    • ปัจจุบันกองทุน LTF ถูกยกเลิกไปแล้วสำหรับการลงทุนใหม่ตั้งแต่ปี 2563 แต่สำหรับผู้ที่ซื้อกองทุนไว้ก่อนหน้านั้นยังคงสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามกฎหมายเดิม
  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
    • ลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
    • ต้องลงทุนต่อเนื่อง ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และถือครองจนอายุ 55 ปี
  • ประกันสะสมทรัพย์
    • ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
    • กรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

การวางแผนการเงินที่ดีควรผสมผสานทั้งการออม การลงทุน และการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น สำหรับใครที่อ่านบทความนี้แล้ว อยากเริ่มลงทุนให้เงินงอกเงยด้วยการลงทุนกับประกันบำนาญหรือประกันสะสมทรัพย์ สามารถติดต่อเพื่อซื้อประกันผ่านทางออนไลน์หรือศึกษาแผนประกันของกรุงเทพประกันชีวิตเพิ่มเติม เข้าไปเยี่ยมชมหรือสมัครได้ที่เว็บไซต์ https://www.bangkoklife.com/online/th  หรือ โทร 02-777-8888

หมายเหตุ

– โปรดทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

1 บริษัทอาจพิจารณาเพิ่มจำนวนเงินเอาประกันภัยเพิ่มพิเศษให้ในช่วงรับเงินบำนาญ โดยจำนวนเงินเอาประกันภัยเพิ่มพิเศษนี้ จะขึ้นอยู่กับเงินปันผล ณ วันครบรอบปีกรมธรรมที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 59 ปี ซึ่งคำนวณมาจากผลตอบแทนจากการลงทุนของสินทรัพย์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล ตั้งแต่วันที่สัญญาเริ่มมีผลคุ้มครอง จนถึงวันครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 59 ปี หลังหักด้วยต้นทุนทั้งหมดของกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งบริษัทจะจัดสรรในอัตราร้อยละ 80 ให้แก่ผู้เอาประกันภัย ทั้งนี้ เป็นไปตามเงื่อนไข ข้อกำหนด และวิธีการคำนวณเงินปันผลที่บริษัทพิจารณา ณ วันครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 59 ปี
2  ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรือขอใช้สิทธิเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัยก่อนวันครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 59 ปี บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไม่พิจารณาเพิ่มจำนวนเงินเอาประกันภัยเพิ่มพิเศษ

3 ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี หรืออาจลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาทต่อปี กรณีที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป

4 กรณีเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ ปีกรมธรรม์ที่ 1-10 รับเพิ่ม 200% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท

5 กรณีเสียชีวิตทุกกรณี ปีกรมธรรม์ที่ 1-10 รับ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือ 102% ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมตามจริง หักด้วยเงินจ่ายคืนและเงินจ่ายคืนพิเศษที่จ่ายไปแล้ว (ถ้ามี) แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า
**อ่านรายละเอียดเงื่อนไขฉบับเต็มได้ที่ https://www.rd.go.th/fileadmin/download/tax_deductions_update30072567.pdf และ https://www.rd.go.th/59674.html

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า