การเงิน

จัดการเงินออม ลงทุนกับประกันสะสมทรัพย์ และลดหย่อนภาษี รู้แค่ 3 อย่างนี้ ก็ทำให้เงินงอกเงยได้

นนท์
29 พฤศจิกายน 2024

ใครที่กำลังมองหาวิธีที่จะทำให้เงินงอกเงยโดยที่มีความเสี่ยงต่ำ เป็นหนทางที่ไม่ทำให้เครียดจนเกินไป บทความนี้จะพาทุกคนไปเริ่มต้นด้วยการโฟกัสที่การจัดการเงินออม การลงทุน และการลดหย่อนภาษี ซึ่งการออมและการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นสองปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และการเข้าใจเรื่องลดหย่อนภาษีก็จะทำให้คุณจัดสรรเงินได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น เพียงเข้าใจใน 3 ข้อนี้ก็จะช่วยให้การเงินของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่องได้

1. จัดการเงินออม จุดเริ่มต้นแรกของการเก็บออมเงินให้ได้ผล

การออมเงินเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางการเงิน เป็นการสร้างความปลอดภัยทางการเงินในยามฉุกเฉิน การออมที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการจัดการรายจ่ายอย่างชาญฉลาด ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ 2 วิธี คือ


ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น

การตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เป็นก้าวแรกของการออมที่มีประสิทธิภาพ รายจ่ายที่ไม่จำเป็นอาจดูเหมือนเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อรวมกันแล้วสามารถทำให้เงินออมลดลงได้ และทุกวันนี้มักมีกลยุทธ์ทางการตลาดมากมาย เช่น โปรโมชันลดราคา ของแถม หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายเกินความจำเป็นได้ 

ดังนั้น วิธีแก้ไขที่เริ่มได้เลยตั้งแต่วันนี้ คือก่อนที่จะใช้จ่ายอะไรแนะนำให้สร้างทางเลือกให้ตัวเองเพิ่มขึ้น โดยลองเปรียบเทียบราคาสินค้าทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ หรือจัดเวลาในการเลือกซื้อสินค้าให้เหมาะสมกับงบประมาณส่วนที่กันไว้สำหรับใช้จ่ายโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าในช่วงเวลาลดราคาทั้งที่สินค้านั้นยังไม่หมดหรือไม่จำเป็นต้องใช้ ตัวอย่างเช่น 

  • ค่ากาแฟหรือค่าอาหาร : เปลี่ยนมาทำกาแฟดื่มเองที่บ้าน หรือหาสินค้าที่มีราคาเหมาะสมเพื่อสลับกับการซื้อสินค้าราคาแพงบ้างในบางครั้ง หรือสลับระหว่างการทานอาหารในร้านอาหารทั่วไปแทนการทานอาหารที่ร้านอาหารในห้างฯ ซึ่งอาจมีราคาสูงกว่า
  • ค่าสังสรรค์ : จัดกิจกรรมที่ใช้เงินน้อยกว่า หรือเลือกจัดปาร์ตี้ที่บ้านแทนการออกไปร้านอาหาร หรือใช้โปรโมชัน Happy Hour ในการพบปะสังสรรค์กับเพื่อน ๆ

เพิ่มรายได้ 

การเพิ่มรายได้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเสริมสภาพคล่องและช่วยให้มีเงินออมมากขึ้น รายได้มีหลายประเภท เช่น รายได้ที่เกิดจากการทำงานโดยตรง (Active Income) รายได้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำงานหรือมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอ (Passive Income) เช่น ค่าเช่า หรือดอกเบี้ยจากการลงทุน ประเภทของรายได้สามารถแยกย่อยได้ ดังนี้

  • รายได้หลัก : เป็นรายได้จากเงินเดือนหรือค่าจ้างจากการทำงานประจำ ซึ่งมักมีความสม่ำเสมอ ช่วยให้ผู้มีรายได้สามารถวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง การเพิ่มรายได้จากรายได้ประเภทนี้ อาจมาจากการทำงานล่วงเวลาหรือการได้เลื่อนตำแหน่ง
  • รายได้เสริม : มาจากงาน Part-time, Freelance หรือการขายของออนไลน์ เป็นช่องทางที่คุณสามารถเพิ่มรายได้จากการทำงานนอกเวลาทำงานประจำหรือในช่วงเวลาว่างได้
  • รายได้จากการลงทุน : อาจมาจากดอกเบี้ยจากการฝากเงิน เงินปันผลจากหุ้น หรือค่าเช่าจากการปล่อยอสังหาริมทรัพย์ การเพิ่มรายได้ด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างนิยมนำมาช่วยให้เงินงอกเงย แต่ต้องระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเอาไว้เสมอ
  • รายได้พิเศษ : โบนัส คอมมิชชัน เป็นรายได้อีกประเภทหนึ่ง โดยมักมีลักษณะเป็นรายได้ไม่ประจำ แต่เมื่อได้มาแล้วสามารถนำไปเป็นเงินออมได้ เพราะมักมีลักษณะเป็นเงินก้อน

2. ลงทุนให้เป็น เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างความมั่งคั่ง

การลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มพูนเงินออม แต่ต้องเลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของคุณและศึกษาทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน เพราะอย่างที่ทราบกันว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นสำหรับมือใหม่หรือใครที่อยากลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติมจากเดิม แนะนำให้เลือกวิธีลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่สามารถสร้างความมั่งคั่งทางการเงินได้จริง ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายตัวเลือก แต่วันนี้เราขอแนะนำการลงทุน 2 ประเภทที่น่าสนใจ คือ 

การลงทุนด้วยวิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) 

DCA (Dollar-Cost Averaging) คืออะไร ?

Dollar-Cost Averaging (DCA) หรือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน คือวิธีการลงทุนที่เน้นการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินที่เท่า ๆ กันในแต่ละงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาของหลักทรัพย์ในขณะนั้น ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง วิธีนี้เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของตลาดมากนัก

ข้อดีของการลงทุนแบบ DCA

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนมีข้อดีคือ ช่วยสร้างวินัยในการลงทุน เพราะเป็นการลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือน มีการกำหนดงบประมาณการลงทุนที่แน่นอน และที่สำคัญคือช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดในการจับจังหวะตลาดได้ 

การลงทุนด้วยวิธี DCA สามารถเลือกลงทุนได้ทั้งหุ้นและกองทุน ขึ้นอยู่กับความต้องการและการพิจารณาของแต่ละคน เช่น การลงทุน LTF หรือ กองทุนหุ้นระยะยาว (Long-Term Equity Fund) ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนไทยมีการลงทุนในหุ้นมากขึ้น และยังสามารถนำเงินที่ลงทุนใน LTF มาลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด 

เพื่อให้เข้าใจและเห็นภาพมากขึ้น ไปดูตัวอย่างการลงทุนด้วยวิธี DCA ในเบื้องต้นพร้อม ๆ กัน

ตัวอย่างการลงทุนกองทุน LTF ด้วยวิธี DCA

คุณ A ต้องการลงทุนในกองทุน LTF และใช้วิธีการ DCA เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในระยะยาว จึงตัดสินใจลงทุน 5,000 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 1 ปี (12 เดือน) โดยในแต่ละเดือน ราคาต่อหน่วยของกองทุน LTF อาจขึ้นลงตามภาวะตลาดหุ้น

ตารางด้านล่างแสดงสถานการณ์สมมติการลงทุนในกองทุน LTF ด้วยวิธี DCA ของคุณ A:

เดือนจำนวนเงินลงทุน
(บาท)
ราคาหน่วยลงทุน
(บาท)
จำนวนหน่วยที่ซื้อได้
(หน่วย)
มกราคม5,00010500
กุมภาพันธ์5,00012416.67
มีนาคม5,0009555.56
เมษายน5,00011454.55
พฤษภาคม5,00013384.62
มิถุนายน5,00020500
กรกฎาคม5,0009555.56
สิงหาคม5,00012416.67
กันยายน5,00011454.55
ตุลาคม5,00014357.14
พฤศจิกายน5,00010500
ธันวาคม5,00012416.67

การคำนวณ:

  • จำนวนเงินลงทุนทั้งหมด: 5,000 บาท x 12 เดือน = 60,000 บาท

ราคาต่อหน่วยเฉลี่ย:
คุณ A ลงทุนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่สนใจว่าราคาหน่วยลงทุนจะขึ้นหรือลง ซึ่งในช่วงเวลา 12 เดือนนี้ ราคาหน่วยลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อหน่วย (ราคาหน่วยลงทุนสูงสุดคือ 14 บาท และต่ำสุดคือ 9 บาท) แต่เนื่องจากใช้วิธี DCA ซื้อในแต่ละเดือนทั้งตอนที่ราคาต่ำและสูง ผลที่ได้คือสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้จำนวนมากเมื่อราคาต่ำ และซื้อหน่วยลงทุนจำนวนน้อยเมื่อราคาสูง ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของคุณ A ต่ำกว่า 11 บาท

อย่างไรก็ตาม หากคุณสนใจใช้วิธี DCA ก็ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้รู้พื้นฐานและทราบถึงข้อจำกัดของวิธีการลงทุนแบบนี้ และตระหนักไว้เสมอว่าให้เลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองด้วย

การลงทุนป้องกันความเสี่ยงด้วยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์

นอกเหนือจากการลงทุนด้วยวิธี DCA แล้ว สำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัย การลงทุนป้องกันความเสี่ยงด้วยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสม เพราะการลงทุนในประกันเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับคุณ แต่ยังเป็นวิธีการออมเงินที่มีการคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปด้วย (สำหรับบางแผนประกัน) นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีที่ช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้เรามีประกันที่ให้ความคุ้มครองที่คุ้มค่ามาแนะนำกัน นั่นก็คือประกันบำนาญและประกันสะสมทรัพย์ จากกรุงเทพประกันชีวิตออนไลน์ หรือ Bangkok Life Assurance

  • ประกันบำนาญ แฮปปี้ เพนชั่น (มีเงินปันผล)

การันตีรับเงินบำนาญคืนทุกปี ตั้งแต่อายุ 60 – 99 ปี

จุดเด่นของประกัน

  • ระยะเวลาคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี
  • เลือกระยะเวลาชำระเบี้ยฯ ได้ 1 ปี (ครั้งเดียวจบ)/ 5 ปี/ 10 ปี หรือจนถึงอายุ 60 ปี
  • มีโอกาสรับเงินบำนาญเพิ่มพิเศษตลอดสัญญา1,2
  • ระยะเวลาชำระเบี้ยฯ ครั้งเดียว จำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น 20,000,000 บาท 
  • ระยะเวลาชำระเบี้ยฯ 5 ปี, 10 ปี และจนถึงอายุ 60 ปี จำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น 50,000 บาท 
  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาทต่อปี3 เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
  • ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ บีแอลเอ ฟาสต์ รีเทิร์น 10/2

กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ รับผลประโยชน์เพิ่ม 200%4

จุดเด่นของประกัน

  • ปีกรมธรรม์ที่ 3 รับเงินก้อนคืน 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • จ่ายเบี้ยสั้น 2 ปี คุ้มครองชีวิตยาว 10 ปี
  • จำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 5,000,000 บาท
  • คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี รับ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย5 
  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
  • ประกันสะสมทรัพย์ บีแอลเอ สมาร์ทเซฟวิ่ง 10/1

รับเงินคืนรวมตลอดสัญญา 117.5% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

จุดเด่นของประกัน

  • มอบความคุ้มครองชีวิต 10 ปี ชำระเบี้ยประกันครั้งเดียวจบ 
  • รับเงินคืนทุกปี ปีละ 1.75% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • ผลประโยชน์รวมตลอดสัญญา 117.5% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด

3. ลดหย่อนภาษี จัดสรรได้ดี ออมเงินได้มากขึ้น

การวางแผนจัดการภาษีที่ดีจะช่วยให้คุณลดค่าใช้จ่ายในการชำระภาษีและสามารถแบ่งสรรปันส่วนไปออมเงินได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นหากใครอยากให้เงินงอกเงยมากขึ้น การลดหย่อนภาษีเป็นอีกข้อหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ

นิยามของคำว่า “ภาษี” และวิธีการคำนวณภาษีเงินได้

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่รัฐจัดเก็บจากบุคคลทั่วไปที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ซึ่งสูตรคำนวณภาษีเงินได้คือ

  • รายได้สุทธิ = รายได้ตลอดทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
  • ภาษีที่ต้องจ่าย = รายได้สุทธิ x อัตราภาษี

สำหรับอัตราภาษีในการคำนวณจะเป็นอัตราภาษีตามขั้นบันไดที่มีทั้งหมด 8 ขั้น เริ่มตั้งแต่เงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี ไปจนถึงเงินได้สุทธิมากกว่า 5,000,000 บาท ที่มีอัตราภาษีอยู่ที่ 35%

ตารางเปรียบเทียบประเภทเงินได้ ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนภาษี

ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กฎหมายกำหนดให้เงินได้แต่ละประเภทสามารถหักค่าใช้จ่าย (ต้นทุน) ออกก่อนแล้วจึงนำเงินได้ที่หักค่าใช้จ่ายแล้วทั้งหมดไปหักลดหย่อน เพื่อให้ได้รายได้สุทธิไปคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ คุณสามารถศึกษาข้อมูลการลดหย่อนแบบละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร**

ประเภทเงินได้หักค่าใช้จ่าย
1. เงินได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน
ค่าจ้าง โบนัส เบี้ยเลี้ยง ฯลฯ

2. เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ
หรือจากการรับทำงานให้ เช่น ค่าธรรมเนียม
ค่านายหน้า ฯลฯ
50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
หากมีเงินได้ประเภทที่ 1 และ 2
ให้นำเงินได้ทั้ง 2 ประเภทรวมกัน
หักค่าใช้จ่ายได้ 50%
แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
3. ค่าลิขสิทธิ์ ค่าตอบแทนทรัพย์สินทางปัญญา หรือค่า Goodwill50% แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท หรือตามที่จ่ายจริง
4. ดอกเบี้ย เงินปันผล ส่วนแบ่งกำไร ฯลฯหักค่าใช้จ่ายไม่ได้
5. เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สินตามจริงหรืออัตราเหมา
– บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง แพ30%
– ที่ดินที่ใช้ในการเกษตร20%
– ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ในการเกษตร15%
– ยานพาหนะ30%
– ทรัพย์สินอื่น10%
– ทรัพย์สินอื่น
การผิดสัญญาเช่าซื้อ การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน
หักเป็นการเหมาได้ 20% วิธีเดียว
6. วิชาชีพอิสระตามจริงหรืออัตราเหมา
– การประกอบโรคศิลปะ60%
– วิชากฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม30%
7. เงินได้จากการรับเหมา (ผู้รับเหมาต้องลงทุน
จัดหาสัมภาระสำคัญนอกจากเครื่องมือ)
ตามจริงหรืออัตราเหมา 60%
8. รายได้อื่น นอกเหนือจาก 1-7*ตามจริงหรืออัตราเหมา 40% และ 60%
ค่าลดหย่อน
การหักลดหย่อนหลัก
– ลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
– คู่สมรส (ที่ไม่มีเงินได้) 60,000 บาท
– บุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน**
– ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์
– ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หักค่าลดหย่อนคนละ 30,000 บาท โดยบิดามารดาต้องมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาท
– ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ หักค่าลดหย่อน คนละ 60,000 บาท**
– เงินสมทบประกันสังคม หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท

ค่าลดหย่อนเพื่อการลงทุนและอื่น ๆ
– ค่าเบี้ยประกันชีวิต (กรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป) ลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท**
– ค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส ลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท**
– เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท ซึ่งไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้างให้หักจากเงินได้
– เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ใช้สิทธิ์ได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีในปีภาษีนั้น และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท**
– ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ที่นำมาเสียภาษีเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ ต้องเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปและจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเมื่อผู้มีเงินได้อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปถึงอายุ 85 ปีหรือกว่านั้น และเมื่อรวมกับการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
– เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
– ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม SSF หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน ต้องไม่เกิน 200,000 บาท**
– เงินบริจาค เงินบริจาคสนับสนุนการศึกษา การกีฬา และโรงพยาบาลรัฐ ผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) หักได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
– เงินบริจาคอื่น หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

สิทธิลดหย่อนจากมาตรการรัฐ
– ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
– โครงการ Easy e-Receipt สามารถนำใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงรวม VAT แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และจะต้องมีใบกำกับภาษีและ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ตามระบบของกรมสรรพากร
*ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร (ฉบับที่629) พ.ศ.2560

การออม 5 ประเภทที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

การออมเงินนอกจากจะช่วยให้เรามีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคตแล้ว ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วยหากเลือกออมได้ถูกวิธี โดยทั่วไปประเภทของการออมที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้มีด้วยกัน 5 แบบ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการนำไปลดหย่อนดังนี้

  • ระบบการออมภาคบังคับ
  • ประกันสังคม: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท และไม่เกิน 15% ของเงินได้
  • เบี้ยประกันชีวิต
    • ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
    • หากรวมกับเงินฝากแบบมีประกันชีวิต ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
    • ประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
    • กรมธรรม์ประกันชีวิตต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป
  • กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)
    • ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท 
    • ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฎิทิน
    • ปัจจุบันกองทุน LTF ถูกยกเลิกไปแล้วสำหรับการลงทุนใหม่ตั้งแต่ปี 2563 แต่สำหรับผู้ที่ซื้อกองทุนไว้ก่อนหน้านั้นยังคงสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามกฎหมายเดิม
  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
    • ลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
    • ต้องลงทุนต่อเนื่อง ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และถือครองจนอายุ 55 ปี
  • ประกันสะสมทรัพย์
    • ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
    • กรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

การวางแผนการเงินที่ดีควรผสมผสานทั้งการออม การลงทุน และการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น สำหรับใครที่อ่านบทความนี้แล้ว อยากเริ่มลงทุนให้เงินงอกเงยด้วยการลงทุนกับประกันบำนาญหรือประกันสะสมทรัพย์ สามารถติดต่อเพื่อซื้อประกันผ่านทางออนไลน์หรือศึกษาแผนประกันของกรุงเทพประกันชีวิตเพิ่มเติม เข้าไปเยี่ยมชมหรือสมัครได้ที่เว็บไซต์ https://www.bangkoklife.com/online/th  หรือ โทร 02-777-8888

หมายเหตุ

– โปรดทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

1 บริษัทอาจพิจารณาเพิ่มจำนวนเงินเอาประกันภัยเพิ่มพิเศษให้ในช่วงรับเงินบำนาญ โดยจำนวนเงินเอาประกันภัยเพิ่มพิเศษนี้ จะขึ้นอยู่กับเงินปันผล ณ วันครบรอบปีกรมธรรมที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 59 ปี ซึ่งคำนวณมาจากผลตอบแทนจากการลงทุนของสินทรัพย์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล ตั้งแต่วันที่สัญญาเริ่มมีผลคุ้มครอง จนถึงวันครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 59 ปี หลังหักด้วยต้นทุนทั้งหมดของกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งบริษัทจะจัดสรรในอัตราร้อยละ 80 ให้แก่ผู้เอาประกันภัย ทั้งนี้ เป็นไปตามเงื่อนไข ข้อกำหนด และวิธีการคำนวณเงินปันผลที่บริษัทพิจารณา ณ วันครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 59 ปี
2  ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรือขอใช้สิทธิเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัยก่อนวันครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 59 ปี บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไม่พิจารณาเพิ่มจำนวนเงินเอาประกันภัยเพิ่มพิเศษ

3 ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี หรืออาจลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาทต่อปี กรณีที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป

4 กรณีเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ ปีกรมธรรม์ที่ 1-10 รับเพิ่ม 200% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท

5 กรณีเสียชีวิตทุกกรณี ปีกรมธรรม์ที่ 1-10 รับ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือ 102% ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมตามจริง หักด้วยเงินจ่ายคืนและเงินจ่ายคืนพิเศษที่จ่ายไปแล้ว (ถ้ามี) แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า
**อ่านรายละเอียดเงื่อนไขฉบับเต็มได้ที่ https://www.rd.go.th/fileadmin/download/tax_deductions_update30072567.pdf และ https://www.rd.go.th/59674.html

Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success. If you love what you are doing, you will be successful.

Albert Schweitzer

previous

เทคโนโลยีล้ำสมัยที่กำลังปฏิวัติวงการดนตรี

Next

เจาะลึกมนต์เสน่ห์อารีย์ จากไลฟ์สไตล์เปี่ยมสีสันสู่การลงทุนที่ชาญฉลาดใน คอนโด อารีย์ และ คอนโด ติด BTS

About Author

นนท์

ชนินทร์ (นนท์) เป็นนักเขียนที่รักเสียงเพลงและมีความเชี่ยวชาญในการเขียนบทความหลากหลายประเภท นนท์มีความสนใจในการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์, ครอบครัว, ท่องเที่ยว, บ้านและสวน, ยานยนต์, สุขภาพและความงาม, เทคโนโลยี, การเงิน, ไลฟ์สไตล์, และธุรกิจ ทุกบทความที่นนท์เขียนเพื่อให้ข้อมูลที่มีคุณค่าและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านผ่านเว็บไซต์ Juke Records

Related Posts

การลงทุนที่ชาญฉลาดใน คอนโด อารีย์ และ คอนโด ติด BTS

บ้านและสวน

เจาะลึกมนต์เสน่ห์อารีย์ จากไลฟ์สไตล์เปี่ยมสีสันสู่การลงทุนที่ชาญฉลาดใน คอนโด อารีย์ และ คอนโด ติด BTS

2 กรกฎาคม 2025

บ้านและสวน

คอนโด ใกล้รถไฟฟ้า เปลี่ยนชีวิตเมืองให้ลงตัวในทุกจังหวะ

8 พฤษภาคม 2025

ธุรกิจ

Travel the World with Ease: The Multiple Entry Visa Thailand

8 กุมภาพันธ์ 2025

Subscribe to our email
newsletter.

Widget

โพสที่น่าสนใจ

นนท์

เจาะลึกมนต์เสน่ห์อารีย์ จากไลฟ์สไตล์เปี่ยมสีสันสู่การลงทุนที่ชาญฉลาดใน คอนโด อารีย์ และ คอนโด ติด BTS

นนท์

คอนโด ใกล้รถไฟฟ้า เปลี่ยนชีวิตเมืองให้ลงตัวในทุกจังหวะ

นนท์

Travel the World with Ease: The Multiple Entry Visa Thailand

นนท์

ไอเดียการตกแต่งห้องนั่งเล่นสไตล์มินิมอล

นนท์

จัดการเงินออม ลงทุนกับประกันสะสมทรัพย์ และลดหย่อนภาษี รู้แค่ 3 อย่างนี้ ก็ทำให้เงินงอกเงยได้

นนท์

ไขข้อข้องใจ คนๆ หนึ่งมีบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดได้กี่ใบ

Leave a Reply

You must be logged in to post a comment.
© Copyright 2025, All Rights Reserved

Widget

Don’t Miss

จัดการเงินออม ลงทุนกับประกันสะสมทรัพย์ และลดหย่อนภาษี รู้แค่ 3 อย่างนี้ ก็ทำให้เงินงอกเงยได้

29 พฤศจิกายน 2024

ปาร์ตี้สุดมันส์ในคอนโด สนุกไม่ต้องไปไหน

30 สิงหาคม 2024

การจัดกระเป๋าเดินทางสำหรับทริปไปงานอีเวนต์กลางแจ้ง

3 สิงหาคม 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า